Search

กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ : การระงับข้อพิพาทค...

  • Share this:

กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ : การระงับข้อพิพาทคดีอาญาในขั้นตอนต่างๆ
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญา เป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือกที่ใช้ควบคู่ไปกับกระบวนการยุติธรรมอาญากระแสหลัก (กระบวนการยุติธรรมตามปกติ) มิใช่เข้าไปแทนที่กระบวนการยุติธรรมทางอาญากระแสหลัก การนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาจึงมีแนวคิด หลักการ และลักษณะพิเศษที่แตกต่างออกไปจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญากระแสหลัก และจากเหตุผลที่แตกต่างกันนี้จึงส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สามรถนำไปปรับใช้ได้กับทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาที่กล่าวถึงนี้จะเป็นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในขั้นตอนที่สามารถยุติคดีทุกประเภทคดีได้ในชั้นตำรวจ อัยการ ศาลและราทัณฑ์ จะไม่กล่าถึงกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาได้เฉพาะความผิดที่ความผิดส่วนตัวอันยอมความได้ที่ได้กระทำอยู่ เช่น กระบวนการยุติธรรมชุมชนที่ให้กำนันผู้ใหญ่บ้านใช้อำนาจในการระงับคดีได้ หรือ กระบวนการยุติธรรมของฝ่ายปกครองที่ให้อำนาจนายอำเภอยุติคดีอาญาได้ เป็นต้น
1) กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นตำรวจ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นตำรวจ ซึ่งโดยปกติตำรวจจะมีหน้าที่หลัก คือ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ แต่ในการปฏิบัติหน้าที่นั้น ตำรวจสามารถใช้ดุลพินิจได้เมื่อสิทธิตามที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้ คือ การใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติงานในหน้าที่ ที่อยู่ภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน ในกรณีที่นำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญามาใช้ เช่น การตักเตือน ซึ่งการตักเตือนนั้นมีได้ 2 ลักษณะดั้งนี้
(1) การตักเตือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการ ตักเตือนด้วยวาจา ในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดที่ไม่รุนแรงและมีพยานหลักฐานพอที่จะตั้งข้อหาได้และผูกระทำความผิดยอนยอม
(2) การตักเตือนอย่างไม่เป็นทางการ เช่น การทำเป็นหนังสือตักเตือน ในกรณีที่เป็นการกระทำความผิดซ้ำ
2) กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานอัยการ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานอัยการ พนักงานอัยการมีหน้าที่ในการพิจารณาสั่งฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งในชั้นพนักงานอัยการสามารถนำเอากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญามาใช้ได้ หากขั้นตอนนั้นนำมาซึ่งความพอใจแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธี การต่อรองคำรับสารภาพหรือ การสั่งชะลอการฟ้อง คือ กรณีที่พนักงานอัยการได้พิจารณาถึงผลร้ายที่เกิดขึ้นและการกระทำของผู้กระทำความผิดแล้วเห็นว่ายังไม่ควรสั่งฟ้องคดี โดยพิจารณาจากประวัติส่วนตัวของผู้กระทำความผิดแล้วเห็นว่าไม่เคยต้องโทษจำคุก หรือเคยรับโทษแต่เป็นกรณีประมาท จึงสั่งชะลอฟ้องไว้และรอฟังรายงานความประพฤติ หากพ้นกำหนดแล้วผู้กระทำความผิดไม่ได้กระทำความผิดซ้ำหรือไม่ได้ผิดเงื่อนไข ก็จะมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีมีผลให้คดีระงับไป
3) กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นศาล กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นศาล เช่น ประเทศแคนาดา ได้นำมาปรับใช้ในคดีอาญาความผิดฐานฉ้อโกงที่มีราคาทรัพย์มากกว่า 20,000 ดอลล่าร์, ความผิดฐานปล้นทรัพย์, ความผิดเกี่ยวกับเพศ, ความผิดฐานลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่, ความผิดฐานประมาท ศาลมีอำนาจส่งคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ได้ โดยส่งคดีให้คณะกรรมการชุมชนดำเนินการพิจารณาตามโครงการไกล่เกลี่ยตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
4) กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นราชทัณฑ์ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการะงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นราชทัณฑ์ เป็นกระบวนการนำผู้กระทำความผิดที่มีความเสี่ยงเล็กน้อย ออกไปจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญากระแสหลักหรือกระบวนการยุติธรรมตามปกติ โดยนำบุคคลเหล่านี้เข้าไปอยู่ในกระบวนการชุมชนบำบัด (Community-based Corrections) ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพาทคดีอาญาโดยใช้ชุมชนบำบัดซึ่งนับว่าเป็นวิธีการที่เหมาะสม เพราะบุคคลส่วนใหญ่ที่กระทำความผิดจะเป็นคดีประเภทความผิดเล็กน้อย คงเป็นไปไม่ได้ที่จะคุมขังทุกๆคน สำหรับความผิดอาญาทุกข้อหา ดังนั้นการใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาเพื่อการปรับปรุงแก้ไขผู้กระทำความผิดโดยให้มีชุมชนมีส่วนร่วม เพราะจากสภาพปัญหาของจำนวนบุคลากรและราชทัณฑ์มีจำนวนจำกัด เรือนจำควรมีไว้สำหรับผู้กระทำความผิด ที่มีลักษณะความผิดที่รุนแรงจำเป็นต้องนำตัวผู้กระทำความผิดกันออกจากสังคม
กระบวนการชุมชนบำบัดของราชทัณฑ์มีสิ่งที่ตามมาคือ การช่วยให้ผู้กระทำความผิดกลับคืนเข้าสู่สังคม (Reintegration) เป็นกระบวนการที่จะเตรียมการทั้งสังคมและผู้กระทำความผิด โดยคาดหวังว่าหลังจากที่ผู้กระทำความผิดกลับเข้าสู่สังคมแล้ว จะปรับปรุงแก้ไขตนเองให้เป็นที่ยอมรับของสังคม คือ ทำให้ผู้กระทำความผิดเกิดความสามารถที่จะปฏิบัติตามกฎหมายและมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่เข้ากับสังคมได้และหลังจากที่มีการบำบัดแล้ว บุคคลดังกล่าวต้องเกิดกรเปลี่ยนแปลงในที่ดีขึ้นภายในตัวเอง ภายในครอบครัว เพื่อนหรือสถาบันที่อยู่รอบตัวeintegrationนบำบัดของราชทัณฑ์มีสิ่งที่ตามมาคือ การช่วยให้ผู้กระทำควาผิดกลับคืนเข้าสู่สังคม าะจากสภาพปัญหาของจำนวนบุคลากรและราชท
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไม่มีรูปแบบที่เป็นหลักตายตัว แต่ทุกรูปแบบที่ใช้อยู่จะมีผลมาจากความผูกพันระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่น ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์จะต้องสร้างจากรากหญ้าสู่ระดับบน


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts